ในภาคเกษตรกรรมที่ต้องการความแม่นยำและประสิทธิภาพสูง การเลือกใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมจึงเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ โดยเฉพาะ แอมโมเนียมซัลเฟตแบบเม็ด (Granular Ammonium Sulfate) ซึ่งไม่เพียงแต่ให้ไนโตรเจนสูงถึง 21% แต่ยังมีกำมะถัน (Sulfur) ที่จำเป็นต่อการสร้างโปรตีนในพืชอย่างครบถ้วน
แอมโมเนียมซัลเฟตแบบเม็ดมีสูตรเคมี (NH₄)₂SO₄ มีปริมาณไนโตรเจน (N) 21% และกำมะถัน (S) 24% ซึ่งทำให้มันเหมาะกับพืชที่ต้องการไนโตรเจนสูง เช่น ข้าว ข้าวโพด และผักใบเขียว โดยศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไทยพบว่า การใช้ปุ๋ยชนิดนี้ร่วมกับปุ๋ยหมักสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวได้เฉลี่ย 15–22% เมื่อเทียบกับการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว
ประเภทปุ๋ย | ไนโตรเจน (%) | กำมะถัน (%) | เหมาะกับพืช |
---|---|---|---|
แอมโมเนียมซัลเฟตเม็ด | 21% | 24% | ข้าว, ข้าวโพด, ผักใบเขียว |
ยูเรีย | 46% | 0% | พืชทั่วไป |
ในพื้นที่ดินที่มี pH สูงหรือขาดธาตุกำมะถัน แอมโมเนียมซัลเฟตแบบเม็ดช่วยลดความเป็นด่างของดินโดยการปล่อยไอออน NH₄⁺ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงสภาพดินให้เป็นกรดเล็กน้อย ทำให้แร่ธาตุอื่น ๆ เช่น ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมกลายเป็นรูปแบบที่พืชดูดซึมได้ง่ายขึ้น งานวิจัยจากกรมส่งเสริมการเกษตรพบว่า ดินที่ใช้ปุ๋ยชนิดนี้เป็นประจำในระยะเวลา 6 เดือน จะมีการเพิ่มปริมาณสารอินทรีย์ในดิน 18% และความสามารถในการเก็บน้ำดีขึ้น 25%
การใช้แอมโมเนียมซัลเฟตแบบเม็ดควรแบ่งเป็น 2 ครั้ง: ครั้งแรกเมื่อเริ่มปลูก (7–10 กก./ไร่) และครั้งที่สองเมื่อพืชโตเต็มที่ (5–8 กก./ไร่) เพื่อควบคุมการปล่อยไนโตรเจนอย่างสม่ำเสมอ กรณีศึกษาจากฟาร์มข้าวในจังหวัดนครราชสีมา แสดงให้เห็นว่า เมื่อใช้ตามแนวทางนี้ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18.5% ในฤดูกาลเดียว
หากต้องการเพิ่มความหลากหลายของธาตุอาหาร พึงผสมกับปุ๋ยฟอสเฟต (DAP) หรือปุ๋ยโพแทสเซียม (MOP) ในอัตราส่วน 1:1 เพื่อให้พืชได้รับ N-P-K ครบถ้วน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวโพดหรือมันฝรั่ง ซึ่งต้องการกำมะถันเพื่อพัฒนาคุณภาพของผลผลิต
อย่าใช้มากเกินไป เพราะอาจทำให้ดินเป็นกรดเกินไป (pH < 5.5) หรือเกิดการสะสมของโซเดียมในพื้นที่ที่ระบายน้ำไม่ดี คำแนะนำคือตรวจสอบ pH ดินก่อนใช้ทุกครั้ง และใช้ปริมาณไม่เกิน 15 กก./ไร่ต่อฤดูกาล
คุณอยากเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืนในฟาร์มของคุณไหม? ดาวน์โหลดแผนการใช้ปุ๋ยแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับพืชของคุณ — พร้อมตัวอย่างจริงจากฟาร์มทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้!