หากคุณเป็นเกษตรกรหรือผู้จัดการฟาร์มที่กำลังเผชิญกับปัญหาพืชเติบโตช้าแม้มีการใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ ลองตรวจสอบสภาพดินของคุณก่อน — เหตุผลอาจไม่ใช่ “ปริมาณมากเกินไป” แต่คือ “ความเป็นกรด-เบสไม่ถูกต้อง”
ปุ๋ยซัลเฟตแอมโมเนียม (Ammonium Sulfate) มีองค์ประกอบหลักคือไนโตรเจน ≥20.5% และกำมะถัน ≥23% — ซึ่งสูงกว่าปุ๋ยเคมีทั่วไปหลายชนิดในด้านความสามารถในการละลายและดูดซึมโดยรากพืช
“เมื่อ pH ของดินอยู่ระหว่าง 6.0–7.0 สารอาหารจากปุ๋ยซัลเฟตแอมโมเนียมจะถูกดูดซึมได้ดีที่สุด” — สถาบันวิจัยการเกษตรแห่งประเทศไทย
หากดินเป็นกรด (pH < 5.5) ไนโตรเจนจะถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซ NH₃ ลอยหนีออกสู่อากาศ ทำให้ประสิทธิภาพลดลงถึง 40% ตามการศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ระดับ pH ดิน | ประสิทธิภาพการดูดซึมไนโตรเจน | คำแนะนำ |
---|---|---|
4.5–5.5 | ต่ำ (20–40%) | ใช้ปุ๋ยหมักหรือเพิ่มแคลเซียมคาร์บอเนต |
6.0–7.0 | สูง (85–95%) | เหมาะกับการใช้ปุ๋ยซัลเฟตแอมโมเนียม |
7.5–8.5 | ปานกลาง (60–75%) | ใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์เพื่อปรับสมดุล |
การทดสอบดินทุก 3–6 เดือน พร้อมวางแผนใส่ปุ๋ยตามผลลัพธ์ จะช่วยลดการเสียปุ๋ยและเพิ่มผลผลิตโดยตรง
ฟาร์มขนาด 50 ไร่ที่เคยใช้ปุ๋ยยูเรีย 200 กก./ไร่ แต่ผลผลิตไม่เพิ่ม หลังเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยซัลเฟตแอมโมเนียม 150 กก./ไร่ + ปรับ pH ดินจาก 5.2 เป็น 6.3 ภายใน 2 ฤดูปลูก 产量เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18%
นี่แสดงให้เห็นว่า การใส่ปุ๋ยให้ถูกต้องไม่ใช่แค่ปริมาณเท่านั้น แต่คือ “การเข้าใจดินของคุณ”
อย่าลืมว่า การใส่ปุ๋ยมากเกินไปไม่ได้ช่วยพืชเติบโตเร็วขึ้น แต่กลับทำลายโครงสร้างดินและเพิ่มต้นทุนโดยไม่ได้ประโยชน์
คุณเคยเจอสถานการณ์ที่ใส่ปุ๋ยแล้วไม่เห็นผลไหม? แชร์ประสบการณ์ของคุณในคอมเมนต์ด้านล่าง — เราอยากฟังเรื่องราวจากคุณ!